7.12.52

คำอธิษฐานของครูเถื่อน

เขียนที่ ภูงามโนนสะอาด
4 มิถุนายน 2552

ฉัน อยากขอขึ้นต้นข้อความในจดหมายฉบับนี้ว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” จัง เผื่อว่าตอนจบของเรื่อง จะได้สวยหรู งดงาม เหมือนอย่างในนิทานที่เคยอ่านเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น โลกที่ความฝัน กับอุดมการณ์เพื่อพัฒนาการศึกษาของคนธรรมดาๆกลุ่มหนึ่ง ลูกหลานชาวไร่ชาวนาที่ไม่ได้ร่ำรวย หรือฉลาดเลิศล้ำมาจากไหน พวกเขาหลายคนยังไม่มีแม้กระทั่งใบปริญญาบัตร กระดาษขาวๆเพียงแผ่นเดียว ที่เหล่านักวิชาการใช้เป็นมาตรฐานเพื่อตัดสินว่า ควรจะยกระดับ หรือเขี่ยใครทิ้งกระเด็นไปจากเส้นแบ่งแยกคุณสมบัติความเป็น พ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ ของชาติด้วยซ้ำ

ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งน้ำตา ในวันที่ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไรให้กับบรรดาลูกๆอีกกว่าร้อยชีวิต เจ้าเด็กหน้ามอมๆ ตาใสแจ๋ว ที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจของฉัน กับพี่น้องครูอาสาที่ร่วมชะตากรรม อิ่มบ้าง อดบ้าง มาด้วยกันตลอดสามปีเต็ม วันนี้พวกเรากำลังจะถูกลอยแพจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ ทั้งที่ยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าเราทำผิดอะไร
ฉันขอขอบคุณ ไม่ว่าจะด้วยเคราะห์กรรม โชคชะตา ความบังเอิญ หรืออะไรก็ตามที่ส่งฉันให้มาใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ “โรงเรียนภูงามโนนสะอาด” โรงเรียนซึ่งไม่เคยมีตัวตนอยู่ในแผนที่ฉบับไหนของโลก แต่กลับเด่นชัดที่สุดในใจของพวกเราทุกคนที่พยายามก่อร่างสร้างฐาน เกี่ยวหญ้า มุงแฝก คอยช่วยประคับประคองมันมาด้วยกัน วินาทีแรกที่ฉันหลบความรุ่มร้อนของสังคมเมืองมาจนถึงชายขอบเมืองแปดริ้วแห่ง นี้ ฉันมองเห็นความลำบาก แร้นแค้น แฝงตัวอยู่ในทุกแห่งหนที่สายตาสัมผัสถึง จนเกือบจะถอดใจกลับบ้านเสียในนาทีนั้น โรงเรียนเล็กๆกลางไร่มันสำปะหลังแห่งนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุยามหน้าแล้ง และลมแรงบาดยะเยือกยามเมื่อฤดูหนาวมาเยือน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฝนตก พื้นถนนลูกรังที่เคยใช้เป็นทางเกวียนสัญจรไปมา ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ฉันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า ชั่วระยะห่างจากกรุงเทพไม่มากนัก จะยังมีความยากจนข้นแค้น กันดารแห้งแล้งซ่อนเร้นอยู่ ชาวบ้านที่นี่ต่างก็ได้แต่ฝากความหวังของทั้งชีวิตในแต่ละปีไว้กับฝนฟ้าและ ราคาพืชผลทางการเกษตร ที่ไม่เคยเป็นใจเข้าข้างคนระดับปลายรากหญ้าฝอยเลยสักครั้ง

ฉันยังจำ ได้ดีถึงในค่ำคืนแรก ฉันนั่งผจญเวรกรรมกับแมลงกลางคืนอยู่เป็นนาน กว่าจะทำใจให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ในห้องน้ำประตูสังกะสีเก่าๆ ที่ต้องเอาเชือกมาร้อยพันเข้ากับตะปูตรงวงกบแทนกลอน และจะเปิดพะเยิบพะยาบในทุกครั้งที่ลมพัด น้ำจากบ่อบาดาลเล็กๆเพียงแห่งเดียวของโรงเรียน ที่ถูกสูบขึ้นมาเป็นสีโคลนข้น และเต็มไปด้วยแมลง ในวันนั้น ฉันไม่รู้เลยว่า จะทำใจให้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แล้วฉันก็ได้พบคำตอบใน เช้าวันรุ่งขึ้น จากแววตาใสๆ หน้ามอมๆที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาของเจ้าตัวซนทั้งหลาย ภาพความรัก ความผูกพัน และความเสียสละของคุณครู ทำให้คนที่ไม่ค่อยจะใส่ใจ อินังขังขอบอะไรกับโลกและผู้คนรอบข้างมากนักอย่างฉัน อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาให้กับความเพียรทนของคุณครู ที่ยอมอุทิศตนเพื่อถ่ายทอดวิชาความรู้สั่งสอนเด็กนักเรียนกว่าร้อยชีวิต ณ โรงเรียนแห่งนี้ โดยไม่มีเงินเดือน ฉันได้มีเวลาหยุดวิ่ง เพื่อชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติและชีวิตรอบกาย เหมือนราวกับต้องมนต์สะกด เพียงชั่วข้ามคืนฉันก็หลงรักบ้านใหม่หลังนี้เข้าให้แล้ว
บทเริ่มต้น โรงเรียนของเรา มาจากแนวคิดของคุณครูวิเชียร เสียงใส ครูใหญ่โรงเรียนต.ช.ด.บ้านนายาว ที่ต้องการจะจัดให้มีโรงเรียนต้นแบบแนวคิดการศึกษาแบบบูรณาการ จึงได้ทำการสำรวจพื้นที่ และพบว่า ชุมชนภูงาม – โนนสะอาด ซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนนักเรียนในหมู่บ้านรวม 60 คน มีที่ดินอุทิศเพื่อสาธารณประโยชน์อยู่จำนวน 20 ไร่ ประกอบกับชาวบ้านในชุมชนมีความต้องการให้จัดตั้งโรงเรียน บนที่ดินผืนนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ลูกหลานต้องเดินทางไกลกว่า 6 กิโลเมตร เพื่อไปโรงเรียน และลดความเสี่ยงภัยจากการข้ามผ่านฝายลำพระเพลิงน้อย ในช่วงฤดูน้ำหลากซึ่งเคยมีเด็กพลัดตกน้ำเสียชีวิตมาแล้ว แต่เนื่องจากจำนวนครูของทางโรงเรียนต.ช.ด.บ้านนายาวในขณะนั้น มีจำนวนจำกัด ไม่สามารถแบ่งมาสอนยังโรงเรียนสาขาแห่งนี้ได้ จึงได้เปิดรับสมัครครูอาสาโดยไม่มีเงินเดือน เพื่อมาช่วยสอนหนังสือให้แก่เด็กๆ และเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนระดับชั้นอนุบาล – ประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2549

เมื่อแรกเริ่ม ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคเงิน วัสดุสิ่งของ และแรงงาน สร้างอาคารชั่วคราวชั้นเดียว หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก ไม่มีผนังห้อง ใช้กระดานดำ กระด้ง และวัสดุพื้นบ้านตามแต่จะหาได้มากั้นระหว่างห้อง บางวันก็ยึดเอาทุ่งนาบ้าง ป่าบ้าง วัดบ้าง เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่หาได้จากการหยิบฉวยสิ่งที่มีอยู่ให้ได้เกิด ประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้ร่วมแรงร่วมใจกัน นำข้าวสาร และวัตถุดิบต่างๆมาเพื่อเป็นอาหารกลางวันแก่เด็กๆและคุณครู แต่เนื่องจากชุมชนภูงามและโนนสะอาดเป็นหมู่บ้านที่ยากจน เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ข้าวปลาอาหารที่เคยได้อิ่มท้องก็กลับค่อยๆหายไป นอกจากงานสอนแล้ว ครูยังต้องรับหน้าที่หาเก็บผักหญ้าตามทุ่งไร่ปลายนา เพื่อนำมาเป็นอาหารยังชีพสำหรับตนเองและเด็กๆ พอถึงหน้าฝน หรือเวลาลมพายุพัดเข้ามาแต่ละที ทั้งครู ทั้งลูกศิษย์ กอดกันกลมยังกะแม่ไก่กกลูก เงินทองที่เคยเก็บสะสมกันมา ก็ต้องถูกนำมาใช้เป็นค่าครองชีพจนหมดสิ้น ครูคนไหนทนความอดอยาก ความลำบากแร้นแค้นไม่ได้ ก็ค่อยๆเดินจากไป
ครูใหญ่วิเชียรได้เดินเรื่อง ขอจัดตั้งโรงเรียนภูงามโนนสะอาดเพื่อให้เป็นโรงเรียนสาขาของโรงเรียนต.ช.ด. บ้านนายาว ไปยังผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ซึ่งต่อมาภายหลังทางกองกำกับ มีความเห็นว่า ความตั้งใจเบื้องต้น ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และนโยบายของทางกองกำกับ แต่จะยังคงรับฝากรายชื่อเด็กไว้ที่โรงเรียน ต.ช.ด.บ้านนายาว เพื่อให้เด็กได้รับวุฒิการศึกษาตามระเบียบข้อบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ นับตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 1/2549 อย่างต่อเนื่อง จนกว่าทางโรงเรียนจะดำเนินการขอจัดตั้งแล้วเสร็จตามขั้นตอนทางกฎหมาย พร้อมกันนี้ได้จัดเงินช่วยเหลือ ให้แก่ทางโรงเรียน จำนวน 600 บาท / วัน เพื่อเป็นค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียนจำนวน 136 คน และครูอาสา 15 คน

ต่อมาในปีการศึกษา 2550 ภายหลังที่ครูใหญ่วิเชียรได้รับคำสั่งย้ายไปต่างจังหวัด ชาวบ้านได้เรียนเชิญ คุณพ่อประสิทธิ์ ตันเจริญ เจ้าอาวาสโบสถ์นักบุญลอเรนซ์ นางาม มาช่วยบริหารจัดการโรงเรียนต่อไป ในระยะนี้ เริ่มมีคณะผ้าป่า และนักเรียน นักศึกษามาจัดกิจกรรมค่ายอาสาที่โรงเรียน ช่วยสร้างอาคารมาตรฐานชั้นเดียว และสนับสนุนปัจจัยอื่นๆตามโอกาส ขวัญและกำลังใจของครูเริ่มดีขึ้น เมื่อเริ่มได้รับเงินเดือนค่าครองชีพ คนละ 2,000 บาท / เดือน เพื่อเป็นค่าเดินทาง อาหาร เช้า/เย็น และค่าใช้จ่ายอื่นๆ การเรียนการสอนของโรงเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นตามลำดับ ปัจจุบัน มีนักเรียน 140 คน ชื่อเสียงของโรงเรียนเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านของการให้ความรัก และเอาใจใส่ดูแลเด็กๆอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย เด็กคนไหนที่อ่านหนังสือไม่ได้ หรือเรียนช้า ครูก็จะจับมาหัดอ่าน หัดเขียนตัวต่อตัวนอกเวลาเรียน จนถึงขนาดให้กินนอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นเดือนๆ จนกว่าจะอ่านออกเขียนได้เลยก็มี ลูกๆของเราทุกคนที่จบชั้น ป.6 ที่ได้เข้าเรียนต่อทั้งหมด ลูกเราสามคนสอบได้เป็นอันดับต้นๆของโรงเรียนกีฬา จ.ชลบุรี พร้อมกับได้รับโควต้าเรียนฟรี และส่วนใหญ่ยังสามารถชิงเก้าอี้นั่งในห้องคิงส์ของโรงเรียนมัธยมพระราชทานนา ยาวมาได้ครบทุกคน

ทีแรก ฉันยังนึกแปลกใจว่า ทำไมครูที่นี่ล้วนแล้วแต่จดจำรายละเอียดของลูกศิษย์ทุกคนได้อย่างครบถ้วน โดยไม่ต้องเปิดเอกสาร ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า เพราะเหตุใดกันนะ ที่ทำให้ คนหนุ่มสาว มีการศึกษาดี อนาคตไกล กว่าสิบคน ยอมหยุดชีวิตตัวเองอยู่กับความแร้นแค้นตรงนี้ แล้วฉันก็ได้พบคำตอบ ยามเมื่อเจ้าตัวซนต่างวิ่งแข่งยื้อแย่งกันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของครู วันนี้ฉันได้รู้แล้วว่า เมื่อเรารักใครซักคน แม้ว่าต้องเหนื่อยยากสักเพียงไหน แค่เห็นเค้ามีความสุข ครูอย่างเราก็ยอมให้ได้ทุกอย่าง
ลูกๆของพวกเรา น่ารัก ซุกซน และกล้าแสดงออกตามวัย พัฒนาการด้านการอ่าน เขียน และการวิเคราะห์โดยรวมๆแล้ว ถือว่าค่อนข้างดีกว่าเด็กจากโรงเรียนอื่นๆในละแวกใกล้เคียงเสียด้วยซ้ำ ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เจ้าเด็กช่างจินตนาการเหล่านี้ เป็นผลิตผลจากโรงเรียนกำมะลอเล็กๆ ที่ไร้ตัวตนในทางกฎหมาย และจากครูผู้ซึ่งใช้ทั้งชีวิตและหัวใจแทนใบประกอบวิชาชีพ

ฉันรู้ดี ว่า เวลาของตัวเองที่จะได้อยู่เพื่อรักและดูแลพวกเค้า คงเหลืออีกไม่มากนัก วันหนึ่งไม่นานจากนี้ ฉันก็คงจะต้องกลับไปอยู่ในที่ทางของตัวเอง ที่ที่ฉันจากมา สิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำให้พวกเขาได้ก็คือการวางรากฐานที่แข็งแรงให้แก่พวก เค้า ด้วยการเร่งจัดตั้งโรงเรียน เพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ แต่เนื่องจากยังติดขัดเรื่องเอกสารสิทธิ์ในการถือครองที่ดินในเขตป่าสงวน ซึ่งชาวบ้านบริจาคมา จึงยังคงต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควรกว่าขั้นตอนด้านเอกสารจะแล้วเสร็จ ต้องขอขอบคุณ “พี่จิ๊ม” พัฒนาสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างเรามาตลอดหลายเดือน ฉันและพี่นัองทุกคนที่นี่รู้สึกรักพี่จิ๊มมากขึ้นในทุกครั้งที่เราได้คุยกัน
“ใน ดีมีร้าย ในร้ายมีดี” นี่เป็นคำพูดที่คุณพ่อประสิทธิ์มักจะบอกแก่พวกเราอยู่เสมอ ฉันเริ่มเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ ในวันที่เรากำลังฉลองครบรอบ 3 ปีของการจัดตั้งโรงเรียนนี่เอง ในขณะที่ฟ้าของเราเริ่มจะสดใส ข่าวร้ายที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นก็เข้ามา พร้อมๆกับที่ครูใหญ่คนปัจจุบันของโรงเรียน ต.ช.ด.บ้านนายาวแจ้งกับเราว่า ได้รับคำสั่งจากทางกองกำกับ ให้ปฏิเสธการรับฝากรายชื่อนักเรียนทั้งหมดของเรา โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1/2552 เป็นต้นไป ผลของคำสั่งนี้ ทำให้ลูกๆของฉันทั้งหมดกว่าร้อยชีวิต พ้นสภาพจากการเป็นนักเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐทันที ครูใหญ่บอกกับเราว่า จะไม่รับฝากรายชื่อเด็กที่จะเข้าเรียนต่อในชั้น ป. 1 อีกต่อไป ส่วนเด็กที่มีรายชื่ออยู่ก่อนหน้านี้ ทางโรงเรียนจะลงบัญชีขาดเรียนโดยไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่งหมดสิทธิ์สอบในที่ สุด
ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำตาตัวเองที่กำลังไหลอาบแก้ม เมื่อเจ้าตัวเล็กของฉันคนหนึ่ง วิ่งเข้ามากอดแล้วถามว่า “ครูคะ ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงใจร้ายขนาดนี้ พวกเขาไม่สงสารเด็กๆอย่างหนูบ้างหรือคะ” ฉันได้แต่ฝืนยิ้มทั้งที่ขอบตาร้อนผ่าว พยายามกลั้นก้อนสะอื้นจากน้ำตาที่ไหลนองจนท่วมล้นหัวใจ ฉันจะทำอย่างไรดีกับหลายชีวิตน้อยๆเหล่านี้ เด็กไทยที่ควรจะมีทั้งศักดิ์และสิทธิ์ในระบบการศึกษาอย่างครบถ้วน แต่พวกเค้ากลับไม่เคยได้รับอะไรเลย เหตุการณ์วันนี้ทำให้ฉันกลับมาคิดถึงคำสองคำ คือ “ครูอาชีพ” และ “อาชีพครู” ระหว่างครูที่ยอมทุ่มได้ทั้งชีวิตให้กับงานสอน โดยไม่เคยต้องการเงินทองหรือโล่รางวัลอะไรตอบแทน หวังเพียงแค่ได้เห็นลูกศิษย์ตัวเอง มีความรู้ ควบคู่ไปกับความดีงาม และใช้ชีวิตในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข กับ “อาชีพครู” ที่ทำงานประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองเท่านั้น ซึ่งฉันจะไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนนี้

โลกของฉันในวันนี้เหมือน กำลังมืดแปดด้าน ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงต่อไปนับจากนี้ ทุกอย่างมันกะทันหันเหลือเกิน เงินในบัญชีที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ กับข้าวสารอาหารแห้งสำหรับเด็กๆหมดไปเป็นเดือนแล้ว หนังสือเรียนก็ยังไม่มี และยังมองไม่เห็นหนทางว่าจะไปหามาจากไหน เรื่องเงินเดือนครู น้องๆหลายคน คงต้องไปรับจ้างชั่วคราวนอกเวลาสอนหนังสือ เพื่อหาค่าข้าว ค่าน้ำ มาแบ่งกันกินเหมือนที่เคยทำกันมาก่อนหน้านี้ ตอนเรายังไม่มีเงินเดือน แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับเรามากที่สุดก็คือ เราจะทำอย่างไรให้เด็กๆ ได้รับการรับรองวุฒิการศึกษาอย่างถูกต้องนั่นต่างหาก

ฉันนั่ง มองดอกไม้เล็กๆหลายช่อในมือตัวเองด้วยน้ำตานองหน้า เช้านี้เป็นวันไหว้ครูของโรงเรียนเรา ตลอดช่วงพิธีกรรม ฉันได้แต่นั่งมองหน้าเด็กๆ ทีละคนเรื่อยไปตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย ภาพเรื่องราวแต่ละบท แววตาออดอ้อน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เสียงหัวเราะ จังหวะไม้เรียว และคราบน้ำตา แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ยังคงกระจ่างชัดในความรู้สึกเสมอ ฉันเป็นคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเชื่อว่าปาฏิหาริย์มีจริง แต่ในวันนี้ฉันจะขอแลกมันกับอะไรก็ได้ในชีวิต ขอแค่เพียงให้เรายังได้มีเวลาอยู่เพื่อได้รัก ได้ดูแลลูกๆของเราในบ้านใหญ่หลังนี้ต่อไป ขอโอกาสอีกสักครั้งให้เราได้พิสูจน์พลังศรัทธาแห่งความรัก และความดีงามในสังคม ให้เราได้เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่จริง

ณิชชา มีศีลธรรม


โรงเรียนภูงามโนนสะอาด 279 หมู่ 18 ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา 24160
email : chonnitcha@hotmail.com
http://www.p-sch-blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น