6.12.52

เปิดใจครูอาสา

พ่อของผมสอนไว้ว่า “ทำดีไว้เพื่อลูก ทำถูกไว้เพื่อหลาน” พ่อทำเพื่อสังคมมาตลอด ชีวิตคนเราสั้นนักเมื่อเทียบกับอายุของสังคมและโลกที่จะพัฒนาก้าวต่อไป หากมีโอกาสทำเพื่อคนอื่นก็จงอย่าลังเล ...ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นครู เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ หากมีใครถามว่า ผมเหมาะที่จะเป็นครูหรือเปล่า ผมไม่รู้! ผมรู้แต่ว่ายอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกศิษย์ของผมได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด รู้สึกภูมิใจที่เห็นเด็ก ๆ มีความสุข ผมรักพวกเขา และอยากให้พวกเขามีอนาคตที่ดีขึ้น
นายประชา คำพรม (ครูเอ๋)
เหนื่อย..แต่ถ้าเราไม่ทำก็ไม่รู้ว่าใครจะมาทำเคยท้ออยู่บ่อยๆโดยเฉพาะเวลาที่เห็นครูอาสาที่เคยร่วมงานกันค่อยๆหายหน้าไปทีละคนจนบางครั้งแทบไม่เหลือใคร ท้อจนกระทั่งเคยตัดสินใจลาออก แต่ไปได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับมา เพราะฝันเห็นแต่หน้าเด็กๆ กลัวค่ะ กลัวว่าถ้าไม่มีเรา ไม่มีครูสอน แล้วพวกเค้าจะอยู่กันยังไง
นางสาวหยาดพิรุณ ยอดเพชร (ครูเจี๊ยบ)
สอนที่นี่ไม่มีเงินเดือน เงินเก็บที่เคยมีอยู่ก็ต้องเอามาเป็นค่าใช้จ่ายจนหมด อยู่มาตั้งแต่วันแรกที่ยังเป็นเสาธงต้นยูคา หลังคามุงหญ้า พื้นห้องเป็นดิน แต่ละห้องมีเพียงกระดานเท่านั้นที่เป็นตัวแบ่งห้อง พอฝนตก ลมมา ครูกับนักเรียนกอดกันกลมเหมือนแม่ไก่กกลูก คำว่า “ครู” ทำให้เราทิ้งเค้าไปไม่ได้ อยากเห็นเขามีอนาคตที่ดี อ่านออกเขียนได้ เอาตัวรอดได้ในสังคม
เวลาที่เราป่วยไม่มาสอน เด็กๆจะคอยถามว่า “ทำไมวันนี้ครูไม่มาครูไม่สบายเป็นอะไร” ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าถ้าวันหนึ่งที่เราจำเป็นต้องไปจากที่นี่จริงๆ เราจะเตรียมคำตอบสำหรับเด็กๆว่าอย่างไร
นางสาวยุวดี ปั้นทอง (ครูหนิง)
อยากกลับมาช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทีแรกคิดว่าจะมาช่วยสักพัก แต่พอได้ลงมาสอน มันก็กลายเป็นความรับผิดชอบของเรา เด็กต้องการครูที่สอนอย่างต่อเนื่อง ครูที่รักและเข้าใจ สอนทั้งวิชาการสอนทั้งชีวิต อยากเห็นพวกเขาเป็นคนดี เด็กน่าจะเริ่มต้นที่ความดีก่อนแล้วค่อยพัฒนาสู่ความฉลาด บางครั้งน้อง ๆ ครูอาสาที่อยู่ด้วยกันต้องลาสอน ไปตัดผมบ้าง เล่นดนตรีบ้าง เพราะไม่มีทุนสำหรับใช้จ่าย รู้สึกเสียดายโอกาสแทนเด็ก ๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นายพันธยุทธ ผิวแก้ว (ครูโอ)

รู้สึกดีใจมากครับที่โรงเรียนเติบโตมาได้ขนาดนี้ อยากขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการทำให้ผ้าขาวผืนเล็ก ๆ กลางท้องทุ่งแห่งนี้เป็นผืนผ้าเนื้อดีที่สะอาดสดใส ...อยู่ที่นี่บางครั้งพวกเราไม่มีอะไรจะกินก็เก็บยอดผักตามทุ่งไร่ปลายนามากินกัน มันรู้สึกเศร้าปนสนุกนะ เป็นรสชาติชีวิตที่หาได้ยาก คำถามที่ผมถูกถามบ่อย ๆ คือ “ อยู่ได้อย่างไร ทั้งที่ไม่มีเงินเดือน จะพากันกินอุดมการณ์แทนข้าวหรือไง” ผมได้แต่ยิ้ม แล้วตอบตัวเองว่าอะไรที่ผมทำแล้วมีความสุข ผมจะตั้งใจทำและทำให้ดีที่สุด
นายอุเทน เจียงพุดซา (ครูเทน)

ฉันขอขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตา ความบังเอิญ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ฉันได้มีช่วงเวลานี้ ... เมื่อมาอยู่ที่นี่ในฐานะครูอาสา เพื่อนฝูง คนรอบข้างหลายคนมองว่าฉันอาจเสียสติไปแล้ว ที่ยอมทิ้งความหรูหราสะดวกสบาย มาใช้ชีวิตแบบอดมื้อ กินมื้อ ที่นี่ บางครั้งหิวจนต้องกินน้ำต่างข้าว แม้ในยามเจ็บป่วย ก็ต้องยอมทน เพราะเราไม่มีเงิน หลายครั้งเมื่อต้องเจอกับแรงกดดันหนักๆจากรอบด้าน บางทีคำว่า “ท้อ” อาจจะยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เห็นแววตาใสแจ๋วของเจ้าตัวเล็กๆ ที่ฉันตกหลุมรักพวกเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกเรียกว่า “ครู” แล้ว พลังชีวิตทั้งหมดก็กลับคืนมาในทันที วันนี้ ฉันได้เรียนรู้ว่า ความสุขของฉัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า “ฉันมีเท่าไหร่” แต่อยู่ที่ “ฉันสามารถสร้างความสุขให้กับคนรอบข้างได้อย่างไร” ต่างหาก
นางสาวณิชชา มีศีลธรรม (ครูชล)








ขอโอกาสอีกสักครั้ง เพื่อให้เราได้พิสูจน์พลังศรัทธาแห่งความรัก และความดีงามในสังคม
ให้เราได้เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้ ยังมีอยู่จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น